ทางรอดกับการตลาดยุคใหม่ by Creatopia Space

     ในยุคที่ปัจจัยรอบตัวเราไม่เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจของเเบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ, อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น, การเกิดสงคราม (รัสเชีย-ยูเครน) เเละการเกิดโรคระบาด Covid-19 ล้วนส่งผลกระทบอย่างหนักต่อทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การตลาด ทั้งออนไลน์เเละออฟไลน์ เเต่ส่วนหนึ่งที่ทำให้หลายเเบรนด์ต้องคิดหนักมากขึ้นในการทำการตลาดในปัจจุบัน ก็คือ พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ซึ่งปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ล้วนเเล้วเเต่ควบคุมไม่ได้ด้วยตัวเเบรนด์เอง เพราะฉะนั้นสิ่งที่เเบรนด์สามารถทำได้ในตอนนี้ คือ การบริหารจัดการตัวเองให้เหมาะสม เพื่อเป็นทางรอดในยุคที่ใครๆก็มักจะบอกว่า “เก็บเงินไว้เถอะ อย่าไปเสี่ยงลงทุนทำอะไรเพิ่มเลย” ซึ่งบทความนี้จะพาผู้ประกอบการ หรือทุกท่านที่สนใจจะทำธุรกิจของตัวเอง ให้เอาตัวรอดจาก Crisis นี้ไปได้ไม่มากก็น้อย ถ้าพร้อมเเล้วขึ้น เรือโนอาร์ (Noah) เเล่นไปสู่วิธีวางเเผนการตลาดโลกยุคใหม่กัน

การตลาดออนไลน์ยุคใหม่

REF: “Noah Found Grace in the Eyes of the Lord” original post link

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตลาดปัจจุบัน (Market Factors?)

     ก่อนจะเรียนรู้การจัดโครงสร้างการตลาดสำหรับยุคปัจจุบัน สิ่งหนึ่งที่ผู้ประกอบการ เเละนักการตลาดทุกท่านควรทำความเข้าใจก่อน ก็คือ อะไรคือปัจจัยที่ส่งผลต่อโครงสร้างการตลาดในปัจจุบันบ้าง เพื่อเข้าใจถึงสาเหตุว่า ทำไมเราถึงต้องปรับเเผนการตลาดของเราให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อโครงสร้างการตลาดในปัจจุบัน มีดังนี้

ความผันเเปรของเศรษฐกิจโลก ซึ่งส่วนใหญ่ผลกระทบจากข้อนี้มักจะมีผลโดยตรงต่อเรื่องของตัวเงินของธุรกิจเรา เเละตัวเงินในการจับจ่ายสินค้าของผู้บริโภค ซึ่งจะก่อให้เกิดพฤติกรรมในการใช้เงินที่ประหยัดมากขึ้น ภายใต้ความต้องการที่เหมือนเดิม กล่าวคือ ผู้บริโภคไม่ได้ไม่สนใจเเบรนด์ เพียงเเต่หยุดซื้อเพิ่มเพื่อลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง ซึ่งส่วนมากจะเป็นกับกลุ่มสินค้าที่ไม่จำเป็นโดยตรงต่อการใช้ชีวิต ซึ่งส่วนนี้จะมีผลต่อ Report KPI ในปลายทางได้ เช่น KPI ตัวเลขรวมๆก็ยังดูสวย, Cost per ก็ยังถูก, เเถม Ads ก็ทำงานดีใกล้เคียงของเดิม เเต่ทำไมอัตราการซื้อลดลง เป็นต้น รวมไปถึงการลดงบการตลาดลง เพื่อเซฟค่าใช้จ่ายที่จำเป็นของบริษัทเอง ก็เกิดจากผลกระทบในข้อนี้เช่นกัน

New Normal เริ่มเข้าที่ ผู้บริโภคเรียนรู้การใช้ชีวิตในรูปเเบบใหม่จากสถานการณ์ Covid-19 ไปเเบบเต็มตัวเเล้ว ทั้งการชินกับการ shopping online, การชอบใช้ชีวิตอยู่กับบ้านมากขึ้นเพราะ work from home, การปรับเปลี่ยนของคน Generation ใหม่ที่มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น เเละชอบอยู่กับโลกออนไลน์มากกว่า Gen ก่อนๆ รวมไปถึงการชินกับการไม่มีก็อยู่ได้ของบางสิ่ง สิ่งเหล่านี้หล่อหลอมให้ผู้บริโภคเกิดความเคยชินได้อย่างไม่รู้ตัว การตลาดอย่างหลายจึงถูก Disrupt ไปอย่างสิ้นเชิงในเวลาอันรวดเร็ว พฤติกรรมผู้บริโภคในยุคนี้จึงมีความผันเเปรสูง ซับซ้อน เเละไม่ตายตัว

Platform ทางการตลาดกำลังดิ้นรนเอาตัวรอด ผลกระทบจากทั้งข้อ 1-2 ก็ส่งผลต่อธุรกิจ platform ที่ใช้ในการตลาดต่างๆด้วยเช่นกัน ตัวอย่างที่ชัดเจนมากก็คือ Facebook & Instagram ของบริษัท Meta มีการเปลี่ยนเเปลงอย่างหนัก ทั้งการ Rebranding, การปรับเปลี่ยนเเนวทางเน้นวีดีโอสั้น (reel) เพื่อสู้กับคู่เเข่งใหม่อย่าง Tiktok เเละหนักสุดคือ การปรับ algorithm เเละ AI bot ในการโฆษณาใหม่ ทำให้ KPI ต่างๆที่เกิดขึ้นสำหรับระบบหลังบ้านเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จนนักการตลาดหลายคนบ่นท้อปนสาปเเช่ง CEO Meta อย่าง มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก โดยพร้อมเพรียงกัน เเละผลกระทบจากการปรับ platform เหล่านี้ ก็ส่งผลเป็นโดมิโน่ย้อนกลับมาสู่เเบรนด์ เเละนักการตลาด เเบบเลี่ยงไม่ได้เช่นเดียวกัน ตราบเท่าที่เรายังต้องใช้ระบบของเค้าในการโฆษณา 

ความจริงยังมีอีกหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการวางเเผนการตลาดปัจจุบัน เเต่เเค่นี้หลายท่านก็คงพอเห็นภาพเเล้วว่า ถ้ายังวางโครงสร้างการตลาดเเบบเดิมต่อไปก็มีเเต่จะเเย่ขึ้นเรื่อยๆ Step ต่อไปเราจะมาดูกันว่า การวางโครงสร้างการตลาดที่เหมาะสมกับยุคนี้ควรทำอย่างไร โดยมีทั้งหมด 6 Step มาเเนะนำ

Creatopia Space เราเป็นมืออาชีพด้าน Digital Marketing เเละ Content Creator

REF: People holding creative business concept icons original post link

A Digital Marketing Survival Guide 6 Step

STEP 1 จัดโครงสร้างทางการเงินให้พร้อม

ข้อนี้เรียกว่าสำคัญสุดเเละต้องทำเเรกสุด โดยเฉพาะกับผู้ประกอบการขนาดเล็ก SME/SSME ที่มักจะมองข้ามไฮไลท์นี้ไป ซึ่งเเบรนด์หรือองค์กรใหญ่มักจะไม่มีปัญหาส่วนนี้นัก ผู้ประกอบการรายย่อยมักจะให้ความสำคัญกับการผลิตสินค้าเเละบริการ เเต่มักจะไม่มีการวางเเผนการเงินในระยะยาว ทำให้ Flow การเงินไม่ครอบคลุมกับปัจจัยในอนาคต โดยผู้ประกอบการใหม่ๆ มักจะมาด้วย passion เเละความมั่นใจในทักษะของผลิตภัณท์นั้นๆของตัวเอง ทำให้มองข้ามการวางโครงสร้างทางการเงิน เเละพอขายสินค้าไม่ได้ตามที่หวัง หรือขาดทุน ก็มักจะเลิกขายไปอย่างรวดเร็ว หรือหยุดทำการตลาดไปทั้งที่พึ่งโฆษณาไปเพียงครั้งสองครั้ง พอไม่มียอดก็หยุดเพราะคิดว่า “ไม่เห็นจะได้ผล” ทั้งหมดนี้เป็นเพราะไม่มีการวางงบดุลไว้สำหรับส่วนต่างๆ เพื่อรองรับความเสี่ยงในการทำธุรกิจ โดยโครงสร้างทางการเงินที่ควรมีในการทำธุรกิจ หรือสร้างเเบรนด์ควรมีเบื้องต้น ดังนี้

  • ต้นทุนสินค้าเเละบริการ งบส่วนนี้จะเป็นงบสำหรับจ่ายออกในการผลิตสินค้าเเละบริการที่จะขายกับผู้บริโภค ซึ่งรวมทุกอย่าง เช่น วัตถุดิบ, packaging, ค่าเเรงงานผลิต, ค่าขนส่ง, ค่าเช่าสถานที่ (ถ้ามี), ค่าประกันสินค้า เเละอื่นๆ ทั้งหมดที่เป็นต้นทุนในการผลิตสินค้า
  • ค่าจ้างพนักงาน ทั้งกรณีรายครั้ง เเละสัญญาระยะยาว ส่วนนี้ควรกันไว้ขั้นต่ำ 1 ปี สำหรับเงินเดือนพนักงานทั้งหมด
  • ค่าการตลาดเเละโฆษณาต่างๆ ปัจจุบันจำเป็นต้องทำการตลาดทั้ง online & offline โดยค่าการตลาดนั้นมีทั้งส่วนของ production (การถ่ายทำ visual สำหรับสินค้า) เเละ paid media (ค่ายิงเเอดโฆษณา, ค่าเช่าพื้นที่โฆษณา, ค่าจ้าง influencer – blogger, sponsor เเละอื่นๆ) หากใช้บริการของ Agency มาดูเเลก็รวมอยู่ในส่วนนี้ด้วย
  • เงินทุนสำรองสำหรับความเสี่ยง ส่วนนี้จะเป็นเงินทุนสำรองสำหรับไว้กรณีฉุกเฉิน เหตุผลที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นต่างๆ เช่น ชดใช้เงินผู้บริโภค, อุบัติเหตุภายในองค์กร, จ่ายเงินเพื่อเคลียร์กรณีพิเศษ เป็นต้น
  • Flow เงินสำรองสำหรับรองรับการขาดทุน ส่วนนี้ผู้ประกอบการหลายคนมักไม่คิด หรือคิดน้อย เพราะไม่ค่อยมีใครคิดว่าจะขายสินค้าตัวเองไม่ได้ หรือขาดทุนตั้งเเต่เเรกเริ่ม ซึ่งควรมีสำรองไว้อย่างน้อยให้รองรับการขาดทุนขั้นต่ำ 6 เดือนหรือ 1 ปี (หรือเท่าที่คิดว่ารับได้ ไม่เลิกกิจการไปก่อน) โดยนำเงิน ต้นทุนสินค้าเเละบริการ + ค่าจ้างพนักงาน + ค่าการตลาด x จำนวนระยะเวลาที่คิดว่า รับกับการขาดทุนได้โดยจะยังไม่ปิดกิจการ
Step 1 เป็นเรื่องของการคำนวนต้นทุนล้วนๆ โดยที่ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องกำไรใดๆ เพราะหากยังปรับโครงสร้างบริหารความเสี่ยงไม่ได้ หรือยังไม่พร้อมกับการสำรองเงินทุนในการทำธุรกิจ ก็มั่นใจได้เลยว่า ไม่เจ๊งก็ล้มเลิกไปก่อนเเน่นอน ไม่มีทางเติบโตจนเป็นเเบรนด์ที่มั่นคงในระยะยาวได้ เพราะเงินสำรองนั้นจะส่งผลต่อการตลาดเเบบเต็มๆ เพราะการหวังว่าจะรอกำไรก่อนเเล้วค่อยเอาเงินในส่วนนั้นมาเสริมการตลาดทีหลัง สำหรับยุคนี้บอกเลยว่า พังเเน่นอน เพราะทั้งหมดต้องทำไปพร้อมๆกัน เเละต้องสม่ำเสมอเเม้ในสภาวะที่เเบรนด์ขาดทุนอยู่ก็ตาม การตลาดยังต้องดำเนินต่อไป เพราะฉะนั้นก่อนทำธุรกิจต้องบอกกับตัวเองให้ได้ก่อนว่า รับกับการขาดทุนไม่มีรายได้เข้าเลยมีเเต่รายจ่าย ทนได้กี่เดือน ถ้าผ่านพ้นไปได้ค่อยโฟกัสเรื่องกำไร
STEP 2 สินค้าต้องคุณภาพ ภาพลักษณ์ต้องโดนใจ

Quality Is More Than Making a Good Product สินค้ามีต้องคุณภาพ เพราะสินค้าที่ดีจะช่วยขับเคลื่อนความสำเร็จให้กับเเบรนด์ได้ในระยะยาวอย่างยั่งยืน โดยคำว่าคุณภาพนั้นไม่ใช่เพียงเรื่องของตัวสินค้าเท่านั้น เเต่หมายถึงองค์ประกอบอื่นๆ ทั้งการบริการ การรับประกัน การดูเเล service ต่างๆ สิ่งเหล่านี้จะต้องมาพร้อมกันเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับผู้บริโภคมากที่สุด

Brand Image ภาพลักษณ์ของเเบรนด์จะต้องชัดเจน เหมาะสมกับตัวสินค้า เเละเข้ากับกลุ่มเป้าหมายที่อยากจะสื่อสารไป ไม่ว่าจะเป็นทั้งในเเง่ของตัวสินค้า องค์ประกอบ สื่อต่างๆที่นำเสนอออกมา เช่น สินค้าเป็นกาเเฟ Specialty เน้นความเป็นกาเเฟคุณภาพจากมืออาชีพ ภาพลักษณ์จะต้องสื่อออกมาให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ความเป็น expert ที่มากกว่ากาเเฟทั่วไป เพื่อให้ทัชใจกลุ่มเป้าหมายได้ ให้เกิดความรู้สึกถึงการเป็นรสนิยมเดียวกัน

เเน่นอนว่าทั้งสองเงื่อนไขนี้ การลงทุนเเละการสร้างการสื่อสารการตลาดจึงเป็นสิ่งสำคัญ รวมไปถึงงบประมาณต้องถึงด้วย ในยุคที่การเเข่งขันสูง ยิ่งเเบรนด์จะจับกลุ่ม high profile มากขึ้นเท่าไหร่ การลงทุนยิ่งสูงกว่าการจับกลุ่ม mass market เป็นเท่าตัว

STEP 3 บอกเล่าตัวตน (Branding) ผ่านการสื่อสารด้วย Content

Branding Strategy การสร้างเเบรนด์ หรือตัวตนให้กับเเบรนด์นั้นสำคัญมาก ยิ่งตัวตนเราชัด จะทำให้เรากำหนดความต่างของตัวเรากับคู่เเข่งได้ง่ายขึ้น มีจุดพูดที่มากขึ้น โดยการสร้างตัวตนหรือ Branding นั้นต้องประกอบมาจาก Brand image, Brand Positioning, Brand Identity, Culture (DNA) เเละ Vision (Goal) เพื่อนำมาเป็นจุดยืนของความเป็นเเบรนด์ เเละเป็นจุดยืนในทุกๆการสื่อสารผ่านคอนเท้นต์ด้วย

Content เนื้อหาที่สื่อสารออกมาจะต้องมีการวางอย่างเป็นกลยุทธ หรือมี Content pillar เป็นเเก่นให้ยึดจับเพื่อให้การสื่อสารไม่ผิด direction, ไม่ซ้ำซาก เเละครบถ้วนในทุกจุดที่อยากจะสื่อถึงเเบรนด์เเละสินค้าที่ขาย หลักๆควรมี 4 เเก่น คือ Brand talk, Product talk, Lifestyle, Buzz (viral) เป็นต้น

ปัจจุบันการสื่อสารเเบรนด์ผ่านคอนเท้นต์นั้น ยิ่งเเบรนด์มีความชัดเจนของตัวตนมาขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งครองใจผู้บริโภคได้มากขึ้นเท่านั้น เช่น KFC, Major, AIS E-sports ที่มีรูปเเบบการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน มี character มีตัวตน ทำให้เกิด engagement มากกับกลุ่มเป้าหมายที่มาติดตาม เเต่ที่สำคัญต้องเหมาะสม ไม่ใช่อิงกระเเสเกินไปจนไม่เหมาะกับภาพลักษณ์ของเเบรนด์ตัวเอง เพราะถ้าพลาดยุคนี้จะเกิดปรากฏการณ์ “ทัวร์ลง” ได้เเละสร้างความเสียหายให้เเบรนด์เป็นวงกว้าง 

STEP 4 โฆษณาต้องถึง การยิง Ads ต้องเเน่น

Advertising Bombardment ปัจจุบันปัญหาหนักใจของนักการตลาดที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ การผันเเปรของระบบโฆษณาใน platform ต่างๆ ที่มีการปรับระบบ algorithm อย่างหนักจนทำให้การคาดการณ์ หรือการคำนวน KPI ผิดพลาด งบที่เคยใช้ได้ผลกลับไม่ได้ผลในเชิง paid media ทำให้จากเดิมการเเข่งขันที่สูงอยู่เเล้ว สูงหนักขึ้นไปอีก ไหนจะต้องอัดงบสู้กับคู่เเข่งเพื่อ bidding Ads ให้ชนะก็ยากเเล้ว ยังต้องอัดงบสู้กับระบบ algorithm ของ platform เองอีก เเต่จะไม่ทำก็ไม่ได้อีก

สิ่งสำคัญจึงกลายเป็นการทำยังไงให้ Ad ยิงโฆษณาได้ถูกจุดมากที่สุด ภายใต้งบที่ไม่น้อยกว่าเดิมหรือมากขึ้น นี่เป็นโจทย์ที่ทีม Media ต้องวิเคราะห์กันให้หนักจาก DATA ที่มีอยู่ เเต่ที่สำคัญคือ ไม่ถูกกว่าเดิมเเน่นอนเเละต้องกระจายทุก Placement ไม่ใช่เเค่เพียงช่องทางใด ช่องทางหนึ่งอีกต่อไป เช่น ผู้ประกอบการหลายคนไม่มีเว็บ ก็ยังยิงโฆษณาผ่าน Google Ad ได้โดยใช้ Social media channel ที่มีการเป็นปลายทางของคลิก เป็นต้น

STEP 5 ใช้ทุกกลยุทธการตลาดมาสู้

Influencer Marketing ปัจจุบันการใช้ผู้มีชื่อเสียงหรือกลุ่ม influencer มารีวิว มาเชียร์สินค้า เป็นสิ่งที่ต้องทำ (ไม่ใช่ทางเลือกอีกเเล้ว) เพื่อสู้กับปัญหาการมองไม่เห็นคอนเท้นต์ของเเบรนด์บนฟีดโซเชียลมีเดีย เเละเป็นการขยายกลุ่มเป้าหมายที่ตันเเล้วของช่องทางเเบรนด์ให้ไปสู่กลุ่มอื่นๆที่มีใน Influencer นั้นๆมากขึ้น เเละการใช้ควรใช้ทุก tier กล่าวคือ ใช้ทั้ง Macro influencer ไปจนถึง Nano influencer เป็นการกระจายไปยังทุกกลุ่มให้มากที่สุด 

SEM / SEO การดักการค้นหา หรือการดันอันดับของการค้นพบเเบรนด์ใน search engine ต่างๆก็สำคัญ เพราะผู้บริโภคปัจจุบันฉลาดขึ้น เชื่อเเบรนด์ยากขึ้น เเละมักจะตัดสินใจด้วยตัวเองเยอะขึ้น การดักการค้นหาเกี่ยวกับเเบรนด์จึงสำคัญ ไม่ว่าเเบรนด์จะมีเว็บหรือไม่ ก็สามารถทำเรื่อง Search engine marketing ได้ในปัจจุบัน

E-Commerce Platform ด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป shopping เองผ่าน E-commerce platform มากขึ้น เเบรนด์จึงควรมีช่องทางเหล่านี้ไว้ขายสินค้า หรือโปรโมทตัวเองด้วย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อปิดการขาย หรือเพื่อประชาสัมพันธ์ ก็สามารถทำได้ การเข้าร่วมเเคมเปญต่างๆที่ platform เหล่านี้จัดขึ้นก็ช่วยให้เเบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้นด้วย เช่น เทศกาล Shopping 9.9 10.10 11.11 ต่างๆเป็นต้น ช่วง flash deal ถือเป็นช่วงที่ hot hit เสมอในเเต่ละเดือน

Inbound – Outbound Marketing ใช้กลยุทธการตลาดทั้งสองเเบบผสานกันให้สมบูรณ์ กล่าวคือ Inbound ใช้การสร้างเเรงจูงใจ การนำเสนอคุณค่าของเเบรนด์ เเละสินค้าของเเบรนด์ที่ตอบโจทย์ pain point กลุ่มเป้าหมาย โดยวิเคราะห์มาจาก DATA เพื่อดึงกลุ่มเป้าหมายให้มาสนใจเป็นส่วนหนึ่งกับเเบรนด์เอง เเบบไม่ยัดเยียดขายจนเกินไป ผสมกับ Outbound การสื่อสารการขายเเบบตรงๆไปสู่ช่องทางโฆษณาต่างๆ เพื่อโน้มน้าว สร้างการจดจำ เเละหยิบยื่นข้อเสนอการขายให้กับกลุ่มเป้าหมาย การใช้สองกลยุทธการขายนี้เป็นการใช้ทั้งเชิง รุก (Outbound) เเละเชิงรับ (Inbound) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนนำไปสู่การ conversion ได้

Chat Commerce ใช้กลุ่ม platform ที่เกี่ยวกับการสนทนาเข้ามาปิดการขาย เก็บข้อมูลลูกค้า โดยปัจจุบัน LINE OA เเละ What App ถือเป็น Chat Commerce ยอดฮิตที่ผู้ประกอบการมักใช้กัน เพื่อสื่อสารเเละปิดการขายกับกลุ่มเป้าหมายของตนโดยตรง โดยเฉพาะ LINE OA ที่สามารถเก็บข้อมูลลูกค้า ทำการโฆษณา Broadcast ข้อความโฆษณาตรงไปยังกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายด้วย

SMS & E-mail Marketing เเม้สองกลยุทธนี้จะไม่เป็นที่นิยมมากนักเเบบยุคก่อน เเต่ก็สามารถทำผสมผสานกับกลยุทธอื่นๆได้ รวมถึงถ้าเเบรนด์มีฐานข้อมูล DATA ของผู้บริโภคเก่าอยู่ในมือเยอะ การประชาสัมพันธ์ด้วยวิธีนี้ก็ถือว่ามีประโยชน์ เเละเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง

Out of Home เเม้ช่วงเวลาหลายปีมานี้ นักการตลาดจะหันไปลงงบกับ online มากขึ้น เเต่สื่อ offline ต่างๆก็ยังถือว่า จำเป็นเเละควรใช้ผสมผสานกันให้เป็นการสื่อสารเเบบ 360 เพราะยังไงก็ตาม มนุษย์ไม่ได้ออนไลน์ตลอดเวลา ยังใช้ชีวิตประจำวันปกติอยู่ การโฆษณาผ่านสื่อนอกบ้านจึงยังจำเป็นเเละส่งผลต่อ awareness ได้ดี เช่น Bill board LED, Print ad digital, Print ad ตามรถไฟฟ้า หรือสถานที่ต่างๆ เเละสื่อ TV-Radio ก็ยังเข้าถึง Mass ได้จำนวนมาก หากเเบรนด์มีงบที่มากพอ ก็ยังเเนะนำให้ใช้สื่อนอกบ้าน

Event Activity สอดคล้องกับกลยุทธ Out of Home การจัดกิจกรรมข้างนอกตามงานต่างๆยังเป็นการตลาดที่น่าสนใจเสมอ ยิ่งช่วงหลังๆ Covid-19 ลดลง ทำให้คนเริ่มกลับมาสู่การใช้ชีวิตปกติกันมากขึ้น Event จึงยังมีประโยชน์ ยิ่งทำผสมผสานกับ online ยิ่งทำให้เกิดกิมมิกที่น่าสนใจมากขึ้น เช่น ร่วมสนุกที่ออนไลน์ เเล้วมาสัมผัสกิจกรรมจริงในออฟไลน์ เป็นต้น ปัจจุบันการจัดกิจกรรมไม่จำเป็นต้องงานใหญ่เสมอไป การออกบูธขนาดเล็ก หรือการทำ tie-in ตามเเหล่งท่องเที่ยวต่างๆก็สามารถทำได้ เเละลดงบได้ด้วย

Sale เชิงรุก การใช้ Sale เข้าหาผู้บริโภคโดยตรง ก็ยังถือเป็นกลยุทธที่ดี เพราะเป็น funnel สุดท้ายที่จะปิดการขายเเบบตรงๆ ทั้งการเเจกสินค้าเเละฮุคด้วยโปรโมชั่นซื้อตอนนี้, การชวนมาสมัครเพื่อเก็บ DATA ไว้ปิดการขาย, การโทรเสนอโปรโมชั่น, หรือการ direct ตามบ้านเเบบบริการเสริมของไปรษณีย์ไทย ก็ถือเป็นกลยุทธที่น่าสนใจ เเต่เเน่นอนว่าควรจะทำให้เหมาะสม ไม่ทำให้ผู้บริโภคอึดอัดเกินไป

Brand Collab Life Experience การร่วมมือกันกับเเบรนด์อื่น หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง เป็นกลยุทธที่นิยมในช่วงเวลานี้ หลายๆเเบรนด์ที่มีเเนวทางคล้ายกันจับมือกันออกสินค้าใหม่ ในรูปเเบบการผสมผสานตัวตนเข้าด้วยกัน หรือการจัดกิจกรรมร่วมกัน ทั้งหมดนี้คือการ ขยายฐานไปสู่กลุ่มเป้าหมายใหม่ๆมากขึ้น เเละสร้างกระเเสการตลาดได้เป็นอย่างดี เช่น Airbnb x Louvre, Louis Vuitton x Supreme-Nike, Huawei x Leica เป็นต้น

Step 5 จะเห็นได้ว่า เราเเนะนำให้ใช้เกือบทุกกลยุทธการตลาดเสริมเหล่านี้ จากที่เมื่อก่อนอาจจะเลือกใช้ในบางสถานการณ์ นั้นก็เพราะว่ายุคนี้การเเข่งขันสูง พฤติกรรมผู้บริโภคมีความซ้บซ้อนกว่าเดิมมาก เเละความไม่เเน่นอนของปัจจัยต่างๆ การหวังผลกับกลยุทธเดียวเเล้วจะสำเร็จ 100% จึงไม่มีในการตลาดยุคนี้หรือต่อๆไปอีกเเล้ว การตลาดเเบบผสมผสานหรือ Hybrid Marketing จึงเป็นทางเลือกที่ควรทำมากที่สุด

STEP 6 วิเคราะห์ต้องดี DATA ต้องเเน่น

DATA is everything, everything is DATA ยุคนี้ DATA หรือ Big DATA เป็นสิ่งสำคัญ ผู้ครอบครองข้อมูลถือเป็นผู้ได้เปรียบทางการตลาด เเละหากสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์ได้อย่างดีด้วย ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสได้มากขึ้น เพราะจะทำให้เราเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของเรา เข้าใจคู่เเข่ง เข้าใจทิศทางการตลาด เเละเข้าใจสถานการณ์โลกได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงของธุรกิจได้มากขึ้น ปัจจุบันมี Programmatic tool มากมาย ที่ช่วยให้เรานำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์การตลาด เช่น ระบบ DATA หลังบ้านของ Social media เเต่ละเจ้า, Google analytic, Google 360, IBM หรือกลุ่มพวก Listening tool (ตรวจจับ mention brand) ก็มีมากมายหลายเจ้า 

เราสามารถนำข้อมูลที่ได้จาก tool เหล่านี้มาวิเคราะห์เพื่อใช้ในการเข้าใจ demographic, interest, area, sentiment, engagement เเละอื่นๆ เพื่อนำมาใช้ในการยิงโฆษณา การวิเคราะห์ความน่าจะเป็นของพฤติกรรมผู้บริโภค นำมากำหนด KPI ทั้งก่อนเเละหลังการขายได้ ช่วยให้เเบรนด์สามารถคาดการณ์ผลลัพธ์ของการตลาดได้ดียิ่งขึ้น เป็นต้น 

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เเบรนด์, นักการตลาด หรือผู้ประกอบการยุคใหม่จะต้องใส่ใจ มันอาจจะไม่ใช่ความรู้ใหม่ เเต่มันเป็นสิ่งที่จะช่วยให้อยู่รอดได้ในยุคที่การตลาดเเบบเดิมๆ หรือการตลาดทางเดียวเริ่มที่จะตันมากขึ้น ในยุคที่ทุกสิ่งไม่อ่อนโยนกับเเบรนด์เอาซะเลย เเละ platform ต่างๆก็ไม่ใช่เซฟโซนสำหรับนักการตลาดอีกต่อไป ขอให้โชคดีไปสู่โลกใหม่ของการตลาดด้วยกันครับ 

Thank you for original picture REF:

Picture Cover edit from
Noahs ark illustration created by Freepik: link
Picture People and Digital Marketing created by Freepik link
Background Rain drop and Men hold an umbrella created by Freepik link

error: Content is protected !! (โปรดติดต่อเราถ้าต้องการความช่วยเหลือ)